จอทีวีธรรมดา หรือ จอ CRT (Cathode Ray Tubes)
คือ จอทีวีรุ่นเก่าที่เป็นเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่มีหลังหนาและอ้วน ๆ มีการทำงานโดยการรับสัญญาณแบบอะนาล็อก คือ การส่งสัญญาณที่เป็นเส้นแบบต่อเนื่อง และเป็นสัญญาณที่ถูกรบกวนได้ง่าย ทำให้กลายเป็นข้อจำกัดของทีวีแบบธรรมดา คือ ภาพไม่คมชัดเมื่อถูกคลื่นสัญญาณอื่นรบกวน และช่องสัญญาณมีน้อยทำให้ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาในเรื่องของการสื่อสาร ที่มีความต้องการเพิ่มมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายสูงหากต้องการเพิ่มช่องสัญญาณในการออกอากาศ ทั้งขนาดและการผลิตที่ทันสมัยได้เปลี่ยนวิธีการแสดงภาพจากหลอดจอภาพไปเป็นหลอด LED ทำให้จอทีวีธรรมดาได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตามค่านิยมและลักษณะของการใช้งานตามยุคตามสมัยนั่นเอง
LED TV คืออะไร
จอ LED TV (Light Emitting Diode)
เป็นทีวีที่มีการพัฒนาต่อเนื่องและเป็นรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน จอ LED ใช้ระบบการทำงานโดยอาศัยหลอดไฟขนาดเล็กอย่างหลอด LED เป็นต้นกำเนิดของการฉายภาพ
ประเภทของจอ แอลอีดี ทีวี
จอ LED ถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท โดยใช้ชนิดของหลอด LED ในแผงของทีวีเป็นตัวแบ่งประเภท ดังนี้
EDGE LED
คือหน้าจอที่มีหลอด LED อยู่ที่เฉพาะขอบของทีวีทั้ง 4 ด้าน ทั้งขอบบน-ล่าง ขอบซ้าย-ขวา การทำงานคือ หลอด LED จากขอบทั้ง 4 ด้าน จะเป็นตัวที่คอยยิงแสงเข้ามาบริเวณตรงกลางทีวี จุดเด่นของ EDGE LED คือ จะประหยัดไฟเพราะใช้จำนวนหลอดที่น้อยและขนาดของหน้าจอที่ค่อนข้างบาง เพราะไม่ต้องมีพื้นที่สำหรับใส่หลอด LED แต่ก็มีข้อเสียอยู่บ้างเมื่อเทียบกับ FULL LED นั่นคือ ไม่สามารถเปิด-ปิดหลอดไฟแบบแยกเป็นกลุ่ม ๆ หรือเรียกว่า การทำ Local Dimming ได้

FULL LED
หรือบางยี่ห้ออาจเรียก Direct LED เป็นจอที่ติดตั้งหลอด LED เต็มทั้งแผงหน้าจอทีวีคอยทำหน้าที่กำเนิดแสง ข้อดีของหน้าจอชนิดนี้ก็อย่างที่กล่าวมาคือ สามารถทำ Local Dimming หรือการเปิด-ปิดหลอดเฉพาะจุดหรือเป็นกลุ่ม ๆ ได้ ทำให้เห็นภาพเวลาที่ฉากมีสีดำและสีขาวอยู่ในเวลาเดียวกัน หลอด LED ด้านที่เป็นสีดำก็จะปิดเพื่อให้เห็นภาพที่เป็นสีดำที่ดำสนิทนั่นเอง แต่มีข้อเสียเล็กน้อยคือ ขนาดของหน้าจอจะมีความหนามากกว่าแบบจอ EDGE LED เพราะต้องใช้หลอดไฟ LED หลายตัว

RGB LED
จอ RGB LED หลักในการกำเนิดแสงมีความคล้าย ๆ กับแบบ FULL LED แต่แตกต่างกันตรงที่หลอด LED แบบ FULL LED จะมีสีขาวแค่สีเดียว ต่างจาก RGB แอลอีดี ทีวี ที่ใช้หลอด LED 3 สี ตามชื่อของหลอด LED เลยนั่นคือ RED (สีแดง) GREEN (สีเขียว) Blue (สีน้ำเงิน) ใช้หลักการผสมสีของหลอดให้เกิดเป็นสีต่าง ๆ โดยแต่ละสีจะถูกควบคุมจากสายสัญญาณขนาดตั้งแต่ 16 Bit ขึ้นไปในการควบคุมความละเอียดของการปรับสีของ LED ยิ่งมีการควบคุมจำนวนสายสัญญาณมาก ภาพที่ได้จากหน้าจอก็จะยิ่งมีความลึกของสีที่มาก ยิ่งเห็นภาพสมจริงมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลอด LED 3 สี มีการทำงานที่แยกจากกันเป็นอิสระ ทำให้ได้สีที่สด ชัดเจนมากขึ้น สามารถทำ Local Dimming ได้เหมือนกับแบบ FULL LED แต่มีข้อเสียคือ ราคาของจอ LED ประเภทนี้จะมีราคาที่ค่อนข้างแพงกว่าแบบอื่น ๆ เพราะมีต้นทุนในการผลิตที่สูงกว่าทั้งหมดที่กล่าวมา